คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำและขั้นสูงที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณ เงินสมทบประกันสังคม ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ซึ่งเป็นการปรับเพดานครั้งแรกในรอบหลายสิบปี เพื่อให้การคำนวณเงินสมทบของผู้ประกันตนมาตรา 33 สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน โดยเฉพาะการปรับขึ้นของค่าจ้างแรงงานในช่วงที่ผ่านมา
วัตถุประสงค์หลักของการปรับปรุงครั้งนี้คือ เพื่อให้ผู้ประกันตนที่มีรายได้สูงได้รับสิทธิประโยชน์ที่สะท้อนกับค่าจ้างจริงมากขึ้น และเพื่อเสริมความมั่นคงในระยะยาวของกองทุนประกันสังคม ซึ่งเดิมใช้ฐานคำนวณค่าจ้างสูงสุดไม่เกิน 15,000 บาทต่อเดือนมาตั้งแต่ปี 2538
เปิดตารางการปรับเพดานค่าจ้างคำนวณเงินสมทบแบบขั้นบันได
การปรับเพดานค่าจ้างขั้นสูงเพื่อใช้คำนวณ เงินสมทบประกันสังคม ในครั้งนี้ จะดำเนินการแบบขั้นบันไดทุก 3 ปี โดยอัตราเงินสมทบยังคงคิดที่ 5% เช่นเดิม แต่เพดานค่าจ้างที่ใช้คำนวณจะเพิ่มขึ้นดังนี้
- ปี 2569–2571: เพดานค่าจ้างสูงสุด 17,500 บาท ต่อเดือน
- เงินสมทบสูงสุดที่ต้องนำส่ง: 875 บาท (จากเดิม 750 บาท)
- ปี 2572–2574: เพดานค่าจ้างสูงสุด 20,000 บาท ต่อเดือน
- เงินสมทบสูงสุดที่ต้องนำส่ง: 1,000 บาท
- ตั้งแต่ปี 2575 เป็นต้นไป: เพดานค่าจ้างสูงสุด 23,000 บาท ต่อเดือน
- เงินสมทบสูงสุดที่ต้องนำส่ง: 1,150 บาท
การปรับเพดานเงินสมทบครั้งนี้จะส่งผลให้ กองทุนประกันสังคม มีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งจะช่วยรองรับภาระด้านสิทธิประโยชน์ในระยะยาวได้ดียิ่งขึ้น ส่วนผู้ประกันตนที่มีรายได้สูงขึ้นจะต้องส่งเงินสมทบมากขึ้น แต่ก็จะได้รับผลตอบแทนและสิทธิประโยชน์ที่สูงขึ้นตามไปด้วย เช่น เงินชดเชยรายได้กรณีเจ็บป่วย, เงินทดแทนกรณีเสียชีวิต, และ เงินชราภาพ ในอนาคต ซึ่งจะสะท้อนค่าจ้างจริงของผู้ประกันตนมากยิ่งขึ้น